เทศน์เช้า

ตรุษจีน

๒๔ ม.ค. ๒๕๔๔

 

ตรุษจีน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

“ปีใหม่” วันนี้ตอนเช้าไปบิณฑบาต เขาสวัสดีปีใหม่ เห็นไหม วันนี้วันปีใหม่ วันปีใหม่สากลก็มีปีใหม่สากล ปีใหม่ตรุษจีนก็ปีใหม่ตรุษจีน แล้วยังปีใหม่เดี๋ยวปีใหม่ไทยอีก เห็นไหม นี่มันเป็นปีใหม่ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม

สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเราเข้าถึงมันก็เป็นประโยชน์นะ ถ้าวัฒนธรรม เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมอย่างของอังกฤษ รัฐธรรมนูญเขาไม่มีตัวอักษร เขาใช้ประเพณีบังคับเขา ประเพณีนี่ถ้าเข้าถึง เราเข้าถึงประเพณี ประเพณีจะทำให้เรามีที่เกาะเกี่ยว

“ตรุษจีน” การเคารพผู้ใหญ่เป็นการกตัญญูกตเวที มันเป็นเรื่องของโลก เป็นสมมุติไง ถ้าคนเข้าถึง คนที่เขาเข้าถึง เขาเคารพบูชาของเขาไป คนที่เขาเข้าไม่ถึง ประโยชน์ของเขา เขาก็ไม่ได้ของเขา อันนั้นเป็นสมมุติโลกเขา แล้วมันย้ายมันเปลี่ยนมันแปลงไปได้ด้วย มันเคลื่อนไปเคลื่อนมาไง อันนี้เป็นประเพณี

แต่ประเพณีของเขาวันนี้ตรงกับประเพณีของพระอริยเจ้า เห็นไหม ประเพณีของพระอริยเจ้า ถือธุดงควัตร ถือศีลนี้เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเข้าถึงประเพณี ประเพณีนี้เข้าถึงหัวใจเหมือนกัน สมมุติที่เป็นปีใหม่ก็เข้าถึงหัวใจ เพราะหัวใจปรารถนา แต่เข้าถึงด้วยความเป็นสมมุติ เพราะความไม่เข้าใจ

แต่ประเพณีของพระอริยเจ้าเข้าไปด้วยความขัดเกลา มันขัดเกลาหัวใจไง อย่างธุดงควัตร เห็นไหม มีศีลแล้ว เวลาธุดงควัตรนี้ก็เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าถือประเพณีอย่างนี้ ประเพณีคือว่าเข้ามาถึงเพื่อขัดเกลากิเลสภายใน มันเป็นขัดเกลากับการสะสม ถ้าอย่างทางโลกเขา เขาว่าตรุษจีนนี่คนจีนมีฐานะมาก ถึงต้องไหว้เจ้า ไหว้เจ้าแล้วรวยก็จะไหว้เจ้ากัน การไหว้เจ้าแล้วรวย

ตอนนี้วิทยาศาสตร์จะเจริญนะ เจริญขึ้นมาในทางที่ว่าตบแต่งพันธุกรรมไง พยายามตัดต่อยีนเพื่อจะให้คนมันมีความขยันหมั่นเพียร การตบแต่งอันนั้น คิดถึงทางโลกวิทยาศาสตร์เขาคิดจะทำกัน แต่คนจีนมันอยู่ด้วยสัญชาตญาณของคนจีนเลย ว่าของเขานี่เป็นคนที่มีการทำการค้าขาย อันนี้มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ มันเป็นจริตนิสัย มันฝังดั้งเดิม แล้วเราจะไปตบแต่งยีนขึ้นมาอย่างนั้น ทางวิทยาศาสตร์ทำไป มันทำได้แต่เปลือกไง มันทำอย่างนั้นทำได้

คนเรามันไม่ดีหมดและไม่เลวหมดไปในสังคมนั้นเพราะอะไร เพราะกรรมมันเป็นเครื่องกำหนดมา กรรม การกระทำมา เห็นไหม ใจดวงนั้นมันมีสะสมคุณงามความดีมาขนาดไหน สะสมมามันเป็นหัวใจ ไอ้เรื่องการทำประเพณีของเราก็สะสมลงไปที่ใจ ใจรับรู้ ใจสะสมขึ้นไป มันสะสมเข้ามา บุญกุศลเป็นแบบนั้น

อามิสทาน ทานที่เราทำด้วยอามิสมันก็สะสมมา สะสมเข้าไปตรงนั้น สะสมเข้าไปมันเป็นบุญกุศล แล้วเวลาตายไปมันไปพร้อมกับใจ แต่ประเพณีพระอริยเจ้ามันไปตบแต่งไง ตบแต่งก่อร่างสร้างฐานของใจ ก่อร่างสร้างฐานของใจด้วยศีล ศีลเข้าไปจำกัดเขตให้ปกติของใจ ใจนี้ปกติเข้าไป แล้วยังการกระทำ เห็นไหม บุญกุศลนะ ประเพณีของพระอริยเจ้า ให้ทาน ทานการให้ ให้โดยเสียสละไป ใจมันเป็นคนเสียสละออกไป แต่มันกลับได้รับกลับมา

แต่ประเพณีของโลกเขา มันเป็นสมมุติโลกไง วัฏวน การสมมุติวัฏวนแล้วอาศัยเครื่องนั้นดำเนินไป อาศัยนั้นสะสมๆ เพื่อจะให้เจริญรุ่งเรือง ความเจริญรุ่งเรืองของประเพณีเป็นประเพณี ฉะนั้นปีใหม่แล้วปีใหม่เล่าปีใหม่แล้วมันเป็นสมมุติไง มันเป็นสมมุติให้คนเราได้ตั้งต้นเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มต้นตั้งกติกาของตัวเองใหม่ ปีใหม่จะทำคุณงามความดีใหม่ ปีใหม่ขอให้เจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ของตัวเอง

แต่ชีวิตใหม่ เห็นไหม ได้เกิดความศรัทธา มีคนมาหานะว่าเมื่อก่อนไม่ได้สนใจเรื่องศาสนา เขาก็อยู่เขาไปวันๆ หนึ่ง แต่พอมาสนใจศาสนาแล้วมาประพฤติปฏิบัติธรรม เขาบอกว่าเขาเสียดายเวลามากเลย เขาเติบโตมาตั้งแต่เด็กจนอายุ ๔๐-๕๐ แล้วค่อยมาซึ้งเข้าใจในเรื่องของศาสนา เขาเสียดายเวลาที่ผ่านไปไง ถ้าเขาได้ปฏิบัติมาก่อนหน้านั้น เห็นไหม

นี่ความเห็นใหม่ ความศรัทธาใหม่เกิดขึ้นในใจ มันเปิดหัวใจใหม่ ศรัทธาใหม่ ความเชื่ออันใหม่มันจะทำให้เราพ้นออกไปจากกิเลสได้

นี่อริยประเพณีทำอย่างนั้นไง อริยประเพณีพยายามทำใจของเรา กั้นขอบของใจเข้ามาก่อนจากเปลือกนอก จากประเพณี จากประเพณีนะ เราทรงประเพณีเป็นสมมุติก่อน เห็นไหม แล้วก็ทำใจเข้ามาให้มันเป็นประเพณีภายในเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเป็นอริยเจ้าจากภายใน

นี่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมนั้น ใจดวงนั้น ธรรมะคุ้มครองใจดวงนั้น เพียงแค่ถือศีลนะ ถ้าเราถือศีล เราก็มีสติสัมปชัญญะ เราเป็นคนที่ไม่ประมาท อุบัติเหตุของเราจะเกิดขึ้นกับเราได้ยากมาก เพราะอุบัติเหตุนี้เกิดจากความประมาทของเรา ในเมื่อเราไม่ประมาท เราปกครองศีลอยู่ สติสัมปชัญญะพร้อมถึงจะเป็นศีลขึ้นมาได้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ความประมาทไม่มี เห็นไหม ผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติธรรม แล้วใจมันสงบขึ้นมา มันเป็นความสุขขึ้นมาจากภายใน แล้วเริ่มชำระกิเลสเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

ผู้ที่ทรงอริยประเพณี ถ้าทรงแล้วพยายามก้าวเดินตามนั้น มันจะได้เป็นพระอริยเจ้าเหมือนกัน เพราะใจนั้นประเพณีจากเป็นการก่อร่างสร้างฐานเข้ามา แล้วประพฤติปฏิบัติไป ใจเท่านั้น เห็นไหม

เขาว่าสรรพสิ่งโลกนี้อยู่กับพระเจ้าไง พระเจ้าจะตบแต่งโลกนี้ เห็นไหม เราตบแต่งยีนขึ้นมาของคน พยายามจะทำให้ทุกอย่าง ตอนนี้เริ่มทำแต่ไอ้เรื่องผลิตผล เรื่องผลไม้ก่อน เรื่องพืชก่อน ต่อมาจะว่าทำคนให้ดีขึ้น จะไม่ให้คนนี้มีโรคเลยไง จะตัดแต่งว่าเซลล์ของมะเร็งจะไม่ให้เกิด จะให้ไม่มี

มันเป็นไปไม่ได้.. มันฝืนกรรมไง เขาว่าโลกนี้พระเจ้าสร้างขึ้นมาใช่ไหม จะไปเหนือพระเจ้าไม่ได้ แต่เรื่องของกรรมไม่ใช่อย่างนั้น กรรมคือการกระทำ แล้วเราจะไปลบล้างของการกระทำได้อย่างไร?

หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจนี่พูดถึงเราปฏิเสธพระเจ้า แต่ไม่ปฏิเสธเรื่องของกรรม เพราะใจนั้นกระทำ อริยประเพณีถึงเกิดจากตรงนี้ไง เกิดที่เราทำขึ้นมาจากในหัวใจ แล้วใจดวงนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าขึ้นมา

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ผู้ใดนะ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน เห็นไหม ทั้งๆ ที่เป็นคฤหัสถ์ แต่ใจดวงนั้นเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันนี้เป็นพระอริยเจ้า เห็นไหม ใจดวงนั้นเป็นได้ไง พระเจ้าไม่มี ในศาสนาพุทธปฏิเสธพระเจ้า เพราะพระเจ้านั้นมันก็เวียนตายเวียนเกิดเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดคงที่ เว้นไว้แต่จิตที่สิ้นกิเลสไปเป็นวิมุตติไป จิตอันนั้นพ้นออกไป แต่จิตนั้นก็เป็นผู้ที่พ้นออกไป

ผู้ที่ทำให้อำนาจเป็นผู้ชี้นำได้ เป็นความสุขของตัวได้ สุขของตัว วิมุตติสุขนั้น หัวใจนั้นเปี่ยมเต็มไปด้วยความสุข แล้วชี้นำของเขาไปไง ชี้นำคนอื่นไป แต่ตบแต่งให้คนอื่นไม่ได้ บันดาลไม่ได้ไง ถึงปฏิเสธเรื่องพระเจ้า แต่ไม่ปฏิเสธเรื่องการกระทำ เรื่องของกรรมที่เราประพฤติปฏิบัติเข้ามา มันต้องสะสมเข้ามา พอใจเราเป็น แล้วใจอยู่ที่ไหน? ใจอยู่ที่เรา

ประเพณีนี้ครอบคลุมเข้ามาจากเปลือกภายนอก แล้วเราก็อาศัยสิ่งนั้นเข้ามา แล้วหัวใจนี่มันพัฒนาขึ้นมา สูงขึ้นมาๆ ประเพณีก็ต้องไว้อย่างนั้น เราไม่ติดประเพณีไง ถ้าติดประเพณี เราอยู่ตรงนั้น เราขยับมาไม่ได้

ธรรม.. ธรรมเป็นกิริยาของโลกเขา อยู่ในสังคมโลก เราอยู่กับโลกเขา เราทำตามโลกเขา แต่หัวใจเราสูงประเสริฐกว่า หัวใจเราประเสริฐกว่า เห็นไหม หัวใจเราเข้าใจแล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง ปล่อยวางนั้นทำเป็นวิธีขึ้นไป แล้วพอจิตมันเจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมา แล้วดูของเราเข้ามา ทรงอริยประเพณีเข้ามาให้ได้

พอทรงให้ได้มันก็มีพื้นฐาน ถ้ามีศีลมันก็จะมีสมาธิ เกิดสมาธิมันเกิดปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นนี้ ปัญญาในการฝึกฝน เห็นไหม อาจารย์บอกว่า “หินลับปัญญา” ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้เป็นหินลับปัญญา มันต้องค้นคว้าในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕

กิเลส.. กิเลสอยู่ที่ไหน? ค้นคว้าหากิเลสนะ แต่ไม่เคยเจอกิเลส ไม่เห็นกิเลส เพราะกิเลสนี้เป็นนามธรรม กิเลสนี้เป็นความเคยใจไง หากิเลส กิเลสเกิดแล้วกิเลสก็ดับไป แต่ไม่ได้ชำระกิเลส กิเลสเกิดเองก็ดับเอง กิเลสมันหลอก กิเลสบังเงา มันหลอกไปข้างหน้า หลอกไปข้างหลัง มันลากเราไปไง อยากจะเสพอะไรก็แล้วแต่ มันลากเราเสพ พอเสพเสร็จแล้วเราก็เบื่อ พอเบื่อก็จบไป เห็นไหม กิเลสมันเกิดแล้วกิเลสมันก็ดับ แล้วพอกิเลสมันดับก็นึกว่าฆ่ากิเลสแล้ว ความจริงไม่ใช่

กิเลสมันเป็นนามธรรม หากิเลสหาอย่างไรก็หาไม่เจอ แต่ถ้าหาที่อยู่ของกิเลสไง ทำลายที่อยู่ของกิเลสแล้วได้ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่เป็นที่อยู่ของกิเลส ชำระธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เห็นไหม พิจารณากายและจิต การพิจารณากายและจิตทำลายตรงนั้นไป พอตรงนี้มันหลุดพ้นออกไป กิเลสมันก็ขาดออกไปจากตรงนั้น เห็นตามความเป็นจริงว่ากิเลสมันขาดออกไป นี่มันต้องไปชำระ ปัญญามันจะเกิดๆ อย่างนี้

ถ้าปัญญาเกิด คือปัญญาภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิคือการไล่ต้อนกิเลสไง จะทำใจให้สงบให้ได้ พยายามไล่ให้ใจให้มันสงบ พยายามตามเข้าไป ตามดูความเคลื่อนไหวของจิตเข้าไปเพื่อให้มันสงบ นี่ตามหากิเลส กิเลสมันก็หลอกกันอยู่อย่างนั้นนะ แล้วมันก็สงบได้เหมือนกัน

เพราะว่าธรรมชาติของมันนะ กิเลสมันเกิดแล้วมันต้องดับ ความเคยใจของเรา ความเบื่อหน่ายของเรา เห็นไหม นอนอยู่ อยากนอนนะ พอนอนให้นอนตลอดก็นอนไม่ได้ มันต้องลุกนั่ง ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ คนที่นอนนี้มีความสุขที่สุด แต่ทำไมนอนตลอดชาติไม่ได้ล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้ มันเบื่อหน่าย

ความเบื่อหน่ายอย่างนี้มันเบื่อหน่ายโดยธรรมชาติของมัน เราต้องเคลื่อนไหวไปเพื่อจะหลบความเบื่อหน่ายนั้น กิเลสมันก็หายไป พอกิเลสหายไปเข้าใจว่าชำระกิเลสแล้ว มันไม่ได้ชำระกิเลสตรงไหน นี่การไม่หากิเลส

ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาการใคร่ครวญของตัว ปัญญาถ้ากิเลสมันเกิด กิเลสมันดับ ปัญญาในการอบรมสมาธิ เห็นไหม เข้าใจว่าการค้นหากิเลสคือต้องเจอหน้ากิเลสแล้วชำระกิเลส มันจะหากิเลส หาจนตายก็หาไม่เจอ เพราะกิเลสมันอาศัยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี้เป็นเหยื่อของมัน เป็นที่เรือนรังของโรค เป็นที่อยู่ของมัน แล้วเคลื่อนไหวออกไปตามนั้น

ถ้าเราพิจารณาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พิจารณาตรงนี้ แยกแยะออกไป เครื่องมือของกิเลส เราทำลายบ้านเรือนเหมือนเราระเบิดบ้าน เราทำลายบ้าน ทำลายถ้ำทั้งหมดเพื่อหากิเลสในนั้น พอทำลายถ้ำทั้งหมด กิเลสไม่มีที่อยู่ แล้วไม่ได้อยู่ซึ่งๆ หน้าไง

สิ่งนี้มันก็เป็นอนิจจัง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่ก็เป็นอนัตตา มันอยู่ของมันโดยชั่วคราวแล้วเกิดดับไปชั่วคราว แต่ไอ้กิเลสนี่มันอาศัยสิ่งนั้นอยู่ พอทำลายสิ่งนั้น กิเลสมันจะขาดตรงนี้ ขาดตรงนี้เป็นภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญาคือการใคร่ครวญในหัวใจ ในธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ออกไป แล้วทำลายกิเลส ไม่ใช่ไปชำระที่กิเลสๆๆ กิเลสมันอยู่ที่ไหน หากิเลสก็หาไม่เจอ หาอย่างไรก็หาไม่เจอ เพราะความเข้าใจของโลกไง ความเข้าใจของวัตถุว่ากิเลสคือสิ่งที่น่าขยะแขยง แล้วจะทำลายมัน ก็ไปหาแต่ทำลายมัน แต่ไม่ได้คิดว่ามันอาศัยอะไรเป็นเครื่องอยู่ มันอาศัยอะไรเป็นที่อยู่ ต้องทำลายที่อยู่ของมันแล้วมันจะชำระของมันออกไปโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม

นี่จากอะไร? จากประเพณีที่เราสะสมขึ้นมาจากภายนอก เราก็สะสมเข้ามา ประเพณีของโลกเขา ปีใหม่ก็ใหม่ไปกับเขา แต่ใจของเราวางไว้ ใหม่แล้วก็เข้ามาดูใจของตัวเอง ว่าใจของตัวเองพัฒนาขึ้นมาไหม? ใจของตัวเองเข้าใจสิ่งนั้นไหม? วางไว้ อันนั้นมันเป็นเรื่องของสมมุติ แล้วเราก็เข้ามาที่หัวใจ เพราะหัวใจนี่ปัจจุบันนี้มันสมมุติอยู่เหมือนกัน แต่ตัวของใจจริงๆ นี้มันไม่เคยตาย มันเกิดดับเกิดดับ แต่เพราะมันโดนสมมุติปกคลุมอยู่ มันก็เลยเป็นสมมุติไปกับเขาด้วย

ถ้าทำลายสมมุติอันนี้ออกไป มันเป็นวิมุตติได้ เห็นไหม ใจอันนี้ถึงประเสริฐไง อาศัยสมมุติอยู่ ถ้ามันเข้าใจสมมุติมันก็วางสมมุติภายนอก แล้วก็มาดูสมมุติภายใน มันก็จะวางสมมุติภายในเข้าไป ใจมันถึงเข้ากับสิ่งที่คงที่ได้เพราะว่ามันเกิดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มันโดนบังไว้ด้วยกรรมการกระทำที่เราเคยทำมา โดนกิเลสมันปกคลุมไว้ไง โดนกิเลสโดนสมมุตินี้ปกคลุมไว้

เราเห็นสมมุติความแปรสภาพนั้น แล้วสมมุตินั้นเปลือกมันกะเทาะออกไปถึงจะเห็นความวิมุตติ เห็นเรื่องของใจเป็นของมั่นคง เป็นสิ่งที่ว่ามันไม่แปรสภาพอีก อันนั้นมันถึงเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาจากในหัวใจ เป็นอกุปปธรรม มันสัมผัสที่ใจ ใจนั้นก็เลยเป็นประเสริฐขึ้นมา จากสมมุติขึ้นมานั่นแหละ เพียงแต่เราเลือกใช้ ไม่ติเรือทั้งโคลง ไม่ติสิ่งทั้งหมดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น เราอาศัยสิ่งนั้นเข้ามา มันต้องมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด

ถ้าเราติดหยาบ เห็นไหม เราก็ได้แต่ของหยาบ ติดกลางก็ได้กลาง เราเห็นหยาบเราก็เข้าใจแล้วเราปล่อยวางขึ้นมา ให้มันละเอียดเข้ามา แล้วก็ถึงที่สุดแล้วมันจะปล่อยวางเป็นชั้นๆ เข้ามา ปล่อยวางด้วยศีลด้วยธรรมไง ด้วยธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนไว้ เราสะสมสิ่งนั้นขึ้นมา มันก็เป็นประโยชน์กับเรา

นี่ถึงบอกเราเป็นชาวพุทธ เราอยู่ในสังคมโลกก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่เราสังคมของชาวพุทธ เราต้องทรงประเพณีของพระอริยเจ้า เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา ประเพณีของพระอริยเจ้าที่ว่าทรงสิ่งนี้ไว้ ประเพณีนั้นประเพณีข้างนอกเป็นประเพณีข้างนอก ประเพณีเป็นข้างในจะเป็นสมบัติของสัตว์โลกที่ว่าทรงประเพณีอันนั้นเอาไว้ เอวัง